ทีมรู้ทะเล ได้นำข้อได้เปรียบของกลุ่มประมงจังหวัดระยองที่มีอยู่เดิมมาต่อยอด เกิดขึ้นเป็นไอเดีย “เครือข่ายชาวประมงผู้พิทักษ์” ที่จะอาศัยความร่วมมือกันของเรือประมงของจังหวัด ในการติดตามสอดส่องปัญหาคราบน้ำมันกลางทะเล เพื่อให้สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
ทางทีมได้หยิบเอาปัญหาคราบน้ำมันรั่วที่หาดแม่รำพึงเมื่อต้นปี 2565 มาเป็นกรณีศึกษา และได้ค้นพบว่าการแจ้งเตือนส่งต่อถึงหน่วยงานที่ล่าช้าจะเป็นสาเหตุให้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้น หรือกล่าวได้ว่า 9 ชั่วโมงที่ช้าไปในการดำเนินการต้องแลกมาด้วยระยะการฟื้นฟูธรรมชาติถึง 8 ปี หรือยาวนานกว่านั้น
ทางกลุ่มได้ไปสอบถามปัญหาจากชาวประมงที่ท่าเรือโดยตรง และจากผลการค้นคว้า ทีมพบว่าชาวประมงที่จังหวัดระยองมีการเดินเรือหาหมึกกันอยู่แล้วทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนตามแต่สภาพอากาศ ประกอบกับมีเรือเดินสมุทรจำนวนมาก หากแบ่งพื้นที่ลาดตระเวนกัน อย่างน้อยใน 1 พื้นที่ จะสามารถมีเรือสอดส่องได้อย่างทั่วถึง
ข้อได้เปรียบที่เหลือ คือ ทางชาวประมงเป็นเจ้าของพื้นที่เอง มีสำนึกรักบ้านเกิดและหวงแหนพื้นที่ทำกิน หากมีปัญหาน้ำมันรั่วก็จะไม่สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ ประกอบกับพวกเขามีความเป็นเครือข่ายประมงอยู่แล้ว ทำให้สามารถไปขอความร่วมมือและต่อยอดได้ง่าย
เครือข่ายชาวประมงผู้พิทักษ์ จะมีการประสานงานกันระหว่างกรมเจ้าท่าและชาวประมงในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเมื่อชาวประมงพบเจอคราบน้ำมันในทะเลจะแจ้งเหตุไปยังกรมเจ้าท่า ที่จะประสานงานไปยังสถานีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานงานหน่วยงานต่างๆ ให้เข้าไปปฏิบัติการ ทางฝั่งของชาวประมงจะเก็บข้อมูลและรวบรวมตัวอย่างน้ำ พอกลับมาถึงฝั่งจะส่งตัวอย่างน้ำไปให้กรมเจ้าท่าตรวจสอบ ซึ่งหากปฏิบัติการเป็นขั้นตอนเช่นนี้ จะทำให้กรมเจ้าท่าสามารถปฏิบัติงานได้ทันที
งบประมาณของโครงการนี้อยู่ที่ 500,000 บาท เพื่อเป็นต้นทุนในค่าอบรม ค่าชุดและอุปกรณ์ รวมไปถึงค่าสวัสดิการที่จะจูงใจให้เหล่าชาวประมงในเขตพื้นที่ต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นหูเป็นตากันมากขึ้น โดยจะมีสิทธิพิเศษในการยกเว้นค่าธรรมเนียมเรือ